พลิกโฉมเศรษฐกิจไทยด้วย AI: จากเมืองอัจฉริยะถึงการลงทุนระดับโลก
แพทย์ในกรุงเทพฯ เริ่มใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยวิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่รวดเร็วและแม่นยำขึ้น ขณะเดียวกันเกษตรกรในชนบทอาศัย AI วิเคราะห์ดินและพืชผลเพื่อปรับปรุงผลผลิตใ

รัฐบาลไทยกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลด้วย AI
รัฐบาลไทยตระหนักดีว่า AI คือกุญแจสำคัญในการยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจยุคใหม่ จึงได้จัดทำ ยุทธศาสตร์ปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ พ.ศ. 2565–2570 (National AI Strategy 2022–2027) เพื่อวางกรอบการพัฒนาและประยุกต์ใช้ AI ในทุกภาคส่วนของประเทศ ยุทธศาสตร์ฉบับนี้ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนกรกฎาคม 2565 โดยมีเป้าหมายวางโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่จำเป็นต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย
แผนดังกล่าวประกอบด้วยยุทธศาสตร์หลัก 5 ด้าน เช่น การเตรียมความพร้อมด้านสังคมและกฎหมายสำหรับการใช้งาน AI, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI, การพัฒนาบุคลากรและการศึกษาด้าน AI, การส่งเสริมนวัตกรรม AI และการประยุกต์ใช้ AI ในภาครัฐ/เอกชน
เป้าหมายสำคัญ ได้แก่ การพัฒนา บุคลากรด้าน AI กว่า 30,000 คน ภายในระยะ 6 ปี และคาดหวังให้เกิดมูลค่าทางธุรกิจและสังคมอย่างน้อย 48,000 ล้านบาท ภายในปี 2570
นอกจากนี้ยังตั้งเป้าให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 600 แห่ง นำนวัตกรรม AI ไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานของตนภายในระยะเวลาดังกล่าว เพื่อยกระดับขีดความสามารถด้าน AI ของประเทศโดยรวม
นโยบายเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนด้วยงบประมาณอย่างเป็นรูปธรรม ตัวอย่างเช่น ในปีงบประมาณ 2566 รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณประมาณ 216 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 7.5 พันล้านบาท) สำหรับโครงการด้าน AI ในหน่วยงานรัฐ 68 แห่ง
เงินลงทุนนี้ถูกใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานข้อมูล การประมวลผล และการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ภาครัฐให้สามารถใช้งานเทคโนโลยี AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้รัฐบาลยังออกนโยบาย Cloud First ส่งเสริมให้หน่วยงานรัฐหันมาใช้ระบบคลาวด์สาธารณะและโซลูชันดิจิทัล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลดิจิทัลและปูทางให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้าน AI ในภูมิภาคอาเซียน
ความร่วมมือกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google ก็เกิดขึ้นภายใต้นโยบายนี้ เพื่อยกระดับขีดความสามารถคลาวด์และ AI ของหน่วยงานรัฐไทยให้ทัดเทียมนานาชาติ
บทบาทของ AI ต่อเศรษฐกิจนั้นชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อพิจารณาถึงศักยภาพที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้ประเทศ มีการประเมินว่า การประยุกต์ใช้ AI อย่างเต็มที่ จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศไทยได้อย่างน้อย 2.6 ล้านล้านบาท ภายในปี 2573 หากทุกภาคส่วนยอมรับและปรับใช้เทคโนโลยีนี้อย่างจริงจัง
อุตสาหกรรมหลักที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดจาก AI ได้แก่ ภาคการผลิต ภาคสินค้าบริโภค/ค้าปลีก/การท่องเที่ยว และภาคการคมนาคมขนส่ง ซึ่งคาดว่าจะเห็นการเติบโตและประสิทธิภาพที่ดีขึ้นอย่างมากเมื่อมีการนำ AI มาช่วยดำเนินงาน
จะเห็นได้ว่าภาครัฐไทยมุ่งใช้ AI เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ผ่านการวางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน การลงทุนงบประมาณ และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการนำนวัตกรรมไปใช้อย่างแพร่หลาย

เมืองอัจฉริยะไทย: แนวคิดและความคืบหน้า
แนวคิดของ เมืองอัจฉริยะ (Smart City) คือการนำเทคโนโลยีและข้อมูลดิจิทัลมาบูรณาการในการบริหารจัดการเมือง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวันอย่างมีประสิทธิภาพ nationthailand.com ตัวอย่างเช่น การใช้ระบบ Big Data ช่วยบริหารการจราจร ลดมลพิษ หรือการใช้เซ็นเซอร์อัจฉริยะในการจัดการพลังงานและน้ำเสีย นโยบายเมืองอัจฉริยะถูกผลักดันเป็นวาระแห่งชาติของไทย ปรากฏอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 โดยรัฐบาลตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาให้ได้ เมืองอัจฉริยะ 105 เมืองทั่วประเทศภายในปี 2570 nationthailand.com
ปัจจุบันความคืบหน้าของโครงการเมืองอัจฉริยะในไทยเริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้น มีเมืองและชุมชนรวม 36 แห่ง ใน 25 จังหวัดที่ผ่านการรับรองเป็นเมืองอัจฉริยะอย่างเป็นทางการแล้ว (ข้อมูลถึงปี 2566) nationthailand.com เมืองนำร่องเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่มหานครอย่างกรุงเทพฯ ไปจนถึงเมืองท่องเที่ยวและหัวเมืองรองในภูมิภาค ซึ่งสะท้อนว่าการพัฒนาเมืองอัจฉริยะไม่ได้กระจุกตัวอยู่เฉพาะในเมืองหลวงเท่านั้น แต่กำลังขยายไปสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศอย่างต่อเนื่อง ภาครัฐเองก็ได้จัดตั้งหน่วยงานเฉพาะทาง เช่น สำนักงานเมืองอัจฉริยะประเทศไทย ภายใต้ depa (สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล) เพื่อทำหน้าที่วางแผนแม่บทและประสานงานการพัฒนาเมืองอัจฉริยะให้สอดคล้องกับแนวนโยบายชาติ นอกจากนี้ยังมีการประเมินและจัดอันดับความก้าวหน้าของเมืองอัจฉริยะผ่านดัชนีต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการแข่งขันและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเมือง เช่น จังหวัดภูเก็ตได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองอัจฉริยะอันดับต้น ๆ ของประเทศในปี 2566 ตามดัชนีความสามารถในการแข่งขันด้านเมืองอัจฉริยะของ depa ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จในการพัฒนาเมืองนอกเขตกรุงเทพฯ bangkokpost.com
เพื่อเร่งรัดการพัฒนา Smart City ให้บรรลุเป้าหมาย รัฐบาลไทยยังออกมาตรการจูงใจการลงทุนต่าง ๆ เพื่อดึงภาคเอกชนมาร่วมมือ ตัวอย่างเช่น มาตรการลดหย่อนภาษี ที่ให้สิทธิ์ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% เป็นเวลา 3 ปีแก่ผู้ประกอบการที่ลงทุนในโครงการเมืองอัจฉริยะ และอนุญาตให้นำค่าใช้จ่ายในการใช้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลของเมืองอัจฉริยะมาหักลดหย่อนภาษีได้ 100% เต็ม nationthailand.com นโยบายจูงใจเหล่านี้ควบคู่ไปกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เช่น การขยายเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและ 5G ในเขตเมือง จะช่วยสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้เมืองอัจฉริยะเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ภาพรวมแล้ว การพัฒนาเมืองอัจฉริยะในประเทศไทยกำลังเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง เมืองต่าง ๆ เริ่มนำเทคโนโลยีมาช่วยแก้ไขปัญหาชุมชนในมิติต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการจราจร พลังงาน สิ่งแวดล้อม หรือบริการสาธารณสุข ผลที่ตามมาคือคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ดีขึ้น และความน่าสนใจในการเข้ามาลงทุนของภาคธุรกิจที่เล็งเห็นโอกาสในตลาดเมืองอัจฉริยะไทย เมืองอัจฉริยะจึงเป็นอีกฟันเฟืองหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศควบคู่ไปกับเทคโนโลยี AI ในระดับมหภาค
การลงทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
อีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยเร่งเครื่องเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยคือ เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก รัฐบาลไทยมีความพยายามสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเข้ามาลงทุนของบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ เช่น การปรับปรุงกฎหมายด้านดิจิทัล โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม และสิทธิประโยชน์ด้านภาษี เนื่องจากเล็งเห็นว่าการลงทุนจากต่างชาติจะนำมาซึ่งเงินทุน เทคโนโลยีความรู้ และการจ้างงานทักษะสูง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทชั้นนำหลายรายได้ประกาศลงทุนโครงการใหญ่ในประเทศไทย ตัวอย่างที่โดดเด่น ได้แก่:
- Google: ประกาศลงทุน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) และเขตบริการคลาวด์แห่งใหม่ในประเทศไทย เพื่อรองรับความต้องการคลาวด์ที่เพิ่มขึ้นและสนับสนุนการนำ AI มาใช้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คาดว่าการลงทุนนี้จะสร้างงานโดยเฉลี่ย 14,000 ตำแหน่งต่อปีจนถึงปี 2029 reuters.com
- Amazon (AWS): เปิดตัว AWS Asia Pacific (Bangkok) Region หรือเขตศูนย์ข้อมูลคลาวด์แห่งแรกของ AWS ในประเทศไทยเมื่อปี 2025 พร้อมประกาศแผนลงทุนกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในไทยระยะยาว ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่า GDP ให้ประเทศไทยประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และสร้างงานกว่า 11,000 ตำแหน่งต่อปี ในไทยตลอดช่วงโครงการ press.aboutamazon.com
- Microsoft: ประกาศแผนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลคลาวด์ระดับภูมิภาคแห่งแรกในไทย เพื่อขยายบริการคลาวด์ Azure และรองรับลูกค้าองค์กรและภาครัฐในประเทศ โดยถือเป็นอีกก้าวของยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีที่เข้ามาลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในไทย reuters.com
การเข้ามาของบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยหลายด้าน เม็ดเงินลงทุนมหาศาลจะถูกส่งต่อไปยังภาคส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างศูนย์ข้อมูล การพัฒนาโครงข่ายสื่อสาร หรือการจ้างงานบุคลากรด้านไอทีในประเทศ นอกจากนี้ การมีโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์และดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลกตั้งอยู่ในไทยยังช่วยให้ภาคธุรกิจท้องถิ่นสามารถเข้าถึงบริการดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น (เช่น การใช้บริการคลาวด์ที่หน่วยความจำและประมวลผลอยู่ในประเทศ ช่วยลดความหน่วงในการเชื่อมต่อ) อีกทั้งยังช่วยเสริมความเชื่อมั่นให้ประเทศไทยเป็นหมุดหมายที่น่าดึงดูดสำหรับการลงทุนด้านเทคโนโลยีในภูมิภาค ภาคเอกชนไทยเองสามารถได้รับถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ผ่านความร่วมมือกับบริษัทเหล่านี้ ซึ่งจะเป็นการพัฒนา ecosystem ด้านนวัตกรรมให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น
โดยสรุป
การผนึกกำลังของหลายภาคส่วน – ตั้งแต่นโยบายภาครัฐที่วางรากฐานเอื้อให้ AI และดิจิทัลเติบโต การผลักดันเมืองอัจฉริยะในทุกภูมิภาค จนถึงการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก – กำลังหนุนให้ประเทศไทยพลิกโฉมสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มภาคภูมิ AI ไม่เพียงเข้ามาช่วยยกระดับประสิทธิภาพในภาคธุรกิจและภาครัฐ หากยังกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญที่เชื่อมไทยเข้าสู่อนาคตเศรษฐกิจใหม่ เคียงข้างไปกับเมืองอัจฉริยะและการลงทุนจากทั่วโลกที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
